วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

อนุทินที่ 1

                 









 ประวัติส่วนตัว : 
         
          ดิฉันชื่อ นางสาววรรณดี  วาระเพียง ชื่อเล่น เอ อายุ 21 ปี เกิดวันที่ 7 กุมภาพันธ์   พ.ศ.2540 มีพี่ น้อง 2 คน ดิฉันเป็นคนที่ 2 ปัจจุบันอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 8 หมู่ 1 ตำบลนาเรียง อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช รหัสไปรษณีย์ 80320 ดิฉันจบการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – มัธยมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนวัดนากัน และจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 - 6  แผนการเรียน ศิลป์ – ภาษาจากโรงเรียนเมืองนครศรีธรรมราช ปัจจุบันกำลังศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาภาษาอังกฤษ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช รหัสนักศึกษา 5881114030  นิสัยส่วนตัวของดิฉันคือ เป็นคนร่าเริง ชอบสร้างเสียงหัวเราะให้กับทุกคน คติประจำใจของดิฉัน คือ ความอดทนและความพยายามคือสิ่งที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ ไม่ว่าจะทำสิ่งใดให้คิดว่าอุปสรรคคือขวากหนามที่นำไปสู่เส้นชัยได้ในที่สุด 



อุดมการณ์ความเป็นครูของตัวเอง : 
                           
                "นักเรียนคือเทียนเล่มน้อย ครูคือผู้คอยจุดให้ หากสว่างพร้อมกันทันใด โลกจะสดใสเบิกบาน"  ไม่ต้องการสอนให้นักเรียนเป็นคนเก่ง เเต่ต้องการสอนให้นักเรียนเป็นคนขยันเเละเป็นคนดีของสังคม 
    
เป้าหมายของตนเอง :

                เป็นครูที่พัฒนานักเรียนในโรงเรียนด้อยโอกาส เข้าใจธรรมชาติเเละความเเตกต่างของผู้เรียนเเต่ละคน ให้ทั้งความรู้เเละสอนทักษะชีวิตให้เเก่นักเรียน
                            


อนุทินที่ 2


คำถามท้ายบทที่

คำสั่ง หลังจากนักศึกษาได้ศึกษาบทเรียนนี้แล้ว จงตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง

1. 
ท่านคิดว่าทำไมมนุษย์เราต้องมีกฎหมายหากไม่มีจะเป็นอย่างไร
ตอบ มนุษย์จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีกฎหมายในการดำเนินชีวิต เพราะมนุษย์ไม่สามารถอยู่โดดเดี่ยวตามลำพังได้ จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยกัน ซึ่งนิสัยของมนุษย์ขึ้นอยู่กับความแตกต่างในการเลี้ยงดูของแต่ละคน ดังนั้น มนุษย์ทุกคนย่อมมีพฤติกรรมที่แตกต่างกัน ถ้าหากไม่มีกฎหมาย มนุษย์ก็จะมีสิทธิและเสรีภาพที่ปราศจากการตั้งกฎเกณฑ์ใดๆ สังคมที่มนุษย์อยู่ก็จะเกิดแต่ความวุ่นวาย ไม่มีระเบียบ เกิดการต่อต้าน และไม่น่าอยู่ การอยู่ร่วมกันของมนุษย์จะก่อให้เกิดความขัดแย้ง มีการทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกาย ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกฎเกณฑ์เพื่อควบคุมให้มนุษย์กระทำสิ่งดีๆ จะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข โดยปราศจากความขัดแย้งซึ่งกันและกัน

2. ท่านคิดว่าสังคมปัจจุบันจะอยู่ได้หรือไม่หากไม่มีกฎหมายและจะเป็นอย่างไร
ตอบ  ดิฉันคิดว่าสังคมปัจจุบันไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากกฎหมาย เพราะหากไม่มีกฎหมาย มนุษย์จะมีสิทธิและเสรีภาพในการดำรงชีวิตโดยอิสระ โดยปราศจากกฎเกณฑ์ทางกฎหมายในการควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ เมื่อมนุษย์ทำผิดจะไม่มีบทลงโทษใดๆทั้งสิ้น ซึ่งผลที่จะตามมาคือ บ้านเมืองจะมีความวุ่นวาย ความขัดแย้งระหว่างบุคคลจะเพิ่มขึ้น เกิดปัญหาการทะเลาะวิวาท ปล้น ทำร้ายร่างกายจะยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ ซึ่งหากไม่มีกฎหมายมาลงโทษผู้กระทำความผิด แน่นอนว่า การดำเนินชีวิตของมนุษย์ก็จะไร้ซึ่งความสงบสุข

3. ท่านมีความรู้ความเข้าเกี่ยวกับกฎหมายในประเด็นต่อไปนี้
ตอบ.   
      ก. ความหมาย
 กฎหมาย คือ คำสั่งหรือข้อบังคับที่เกิดจากรัฎฐาธิปไตย์ จากคณะบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดของรัฐ เป็นข้อบังคับใช้กับคนทุกคนที่อยู่ในรัฐหรือประเทศนั้นๆจะต้องปฏิบัติตามและมีสภาพบังคับที่มีการกำหนดบทลงโทษ
      ข. ลักษณะหรือองค์ประกอบของกฎหมาย  
             ประกอบด้วย 4 ประการ คือ
                 1. เป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่เกิดจากรัฎฐาธิปไตย์ที่องค์กรหรือคณะบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดอาทิ รัฐสภาฝ่ายนิติบัญญัติ หัวหน้าคณะปฏิวัติ กษัตริย์ในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สามารถใช้อำนาจบัญญัติกฎหมายได้ เช่น รัฐสภาตราพระราชบัญญัติ คณะรัฐมนตรีตราพระราชกำหนดพระราชกฤษฎีกา คณะปฏิวัติออกคำสั่งหรือประกาศคณะปฏิวัติชุดต่าง ๆ ถือว่าเป็นกฎหมาย   
                 2. มีลักษณะเป็นคำสั่งข้อบังคับ อันมิใช่คำวิงวอน ประกาศ หรือแถลงการณ์ อาทิ ประกาศของกระทรวงศึกษาธิการ คำแถลงการณ์ของคณะสงฆ์ ให้ถือเป็นแนวปฏิบัติมิใช่กฎหมาย
                 3. ใช้บังคับกับคนทุกคนในรัฐอย่างเสมอภาค เพื่อให้ทุกคนเกรงกลัวและถือปฏิบัติสังคมจะสงบสุขได้
                 4. มีสภาพบังคับ ซึ่งบุคคลจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายโดยเฉพาะการกระทำและการงดเว้นการกระทำตามกฎหมายนั้นๆ กำหนด หากฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามฝ่าฝืนอาจถูกลงโทษหรือไม่ก็ได้ และสภาพบังคับในทางอาญาคือ โทษที่บุคคลผู้ที่กระทำผิดจะต้องได้รับโทษ เช่น รอลงอาญา ปรับจำคุก กักขัง ริบทรัพย์ แต่หากเป็นคดีแพ่ง ผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือค่าเสียหายหรือชำระหนี้ด้วยการส่งมอบทรัพย์สินให้กระทำหรืองดเว้นกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งตามมูลหนี้ที่มีต่อกันระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ เช่น บังคับใช้หนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยบังคับให้ผู้ขายส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อตามสัญญาซื้อขาย เป็นต้น
       ค. ที่มาของกฎหมาย
           ที่มาของกฎหมาย พอที่จะสรุปได้ 5 ลักษณะดังนี้
                      1. บทบัญญัติแห่งกฎหมาย เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษร
            2. จารีตประเพณี เป็นแบบอย่างที่ประชาชนนิยมปฏิบัติตามกันมานาน หากนำไปบัญญัติเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรแล้วย่อมมีสภาพไปเป็นกฎหมาย
                         3. ศาสนา เป็นข้อห้ามและข้อปฏิบัติที่ดีของทุกๆ ศาสนาสอนให้เป็นคนดี
                         4. คำพิพากษาของศาลหรือหลักบรรทัดฐานของคำพิพากษา ซึ่งคำพิพากษาของศาลชั้นสูงเป็นแนวทางที่ศาลชั้นต้นต้องนำไปถือปฏิบัติในการตัดสินคดีหลัง ๆ ซึ่งแนวทางเป็นเหตุผลแห่งความคิดของตนว่าทำไมจึงตัดสินคดีเช่นนี้ อาจนำไปสู่การแก้ไขกฎหมายในแนวความคิดนี้ได้ จะต้องตรงตามหลักความจริงมากที่สุด
                      5. ความเห็นของนักนิติศาสตร์ เป็นการแสดงความคิดเห็นว่าสมควรที่จะออกกฎหมายอย่างนั้น สมควรหรือไม่ จึงทำให้นักนิติศาสตร์ อาจจะเป็นอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงในกฎหมายได้แสดงความคิดเห็นว่ากฎหมายฉบับนั้นได้ ในประเด็นที่น่าสนใจเพื่อที่จะแก้ไขกฎหมายให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนดังกล่าว
        ง. ประเภทของกฎหมาย
          ก. กฎหมายภายใน มีดังนี้
              1. กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
                       1.1 กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร 
               -แบ่งโดยยึดเนื้อหาของกฎหมายที่ปรากฏเป็นหลัก โดยผ่านกระบวนการบัญญัติกฎหมาย
     1.2 กฎหมายที่เป็นไม่เป็นลายลักษณ์อักษร 
     -เป็นกฎหมายที่มิได้มีการบัญญัติโดยผ่านกระบวนการนิติบัญญัติ
              2. กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา และกฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง
                  2.1 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา
                 -เช่น การประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ หรือริบทรัพย์สิน สภาพบังคับทางอาญาจึงเป็นโทษอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง ใช้ลงโทษกับผู้กระทำผิดทางอาญา
      2.2 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง
                                 -เช่น การกำหนดให้เป็น โมฆะกรรมหรือโมฆียกรรม การบังคับให้ชำระหนี้ การให้ชดใช้ค่าเสียหาย หรือการที่กฎหมายบังคับให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อความเป็นธรรม
              3. กฎหมายสารบัญญัติ และกฎหมายวิธีสาบัญญัติ
       3.1 กฎหมายสารบัญญัติ
     -แบ่งโดยคำนึงถึงบทบาทของกฎหมายเป็นหลัก
       3.2 กฎหมายวิธีสบัญญัติ
     -กล่าวถึง วิธีการและขั้นตอนในการใช้กฎหมายบังคับ
              4. กฎหมายมหาชน และกฎหมายเอกชน
       4.1 กฎหมายมหาชน
              -เป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน
       4.2 กฎหมายเอกชน
               -เป็นกฎหมายที่มีความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนด้วยกัน
           ข. กฎหมายภายนอก มีดังนี้
               1. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง
       -เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐในการที่จะต้องปฏิบัติต่อกันและกัน
               2. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล
                          เป็นข้อบังคับที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในรัฐต่างรัฐ
               3. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา 
                          -เป็นข้อบังคับที่ประเทศหนึ่งหรือรัฐหนึ่งตกลงยอมรับให้ศาลส่วนอาญาของอีกรัฐหนึ่งมีอำนาจในการพิจาณาลงโทษอาญาแก่บุคคลที่ได้กระทำผิดนอกประเทศนั้นได้  

4. ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร ว่า ทำไมทุกประเทศจำเป็นต้องมีกฎหมาย จงอธิบาย
 ตอบ  ทุกประเทศจำเป็นต้องมีกฎหมาย เพราะทุกประเทศมีการปกครองเป็นของตนเอง มีสภาพแวดล้อมและบริบทที่แตกต่างกัน จึงทำให้กฎหมายในแต่ละประเทศก็ย่อมแตกต่างกันไปด้วย เช่น ในด้านตัวบทกฎหมายหรือบทลงโทษของแต่ละประเทศ ดังนั้น การที่ผู้นำประเทศจะปกครองประชาชนในประเทศได้จำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่เรียกว่า กฎหมายเป็นตัวควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ในประเทศนั้นๆ ให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

5. สภาพบังคับในทางกฎหมายท่านมีความเข้าใจอย่างไร จงอธิบาย
 ตอบ  สภาพบังคับในทางกฎหมาย คือ กฎหมายเป็นกฎเกณฑ์ที่กำหนดความประพฤติของมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์จำต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ จึงจำเป็นต้องมีสภาพบังคับในกรณีที่มีการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์กฎหมายใดไม่มีสภาพบังคับไม่เรียกว่าเป็นกฎหมาย

6. สภาพบังคับกฎหมายในอาญาและทางแพ่ง มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
ตอบ สภาพบังคับกฎหมายในอาญาและทางแพ่งมีความแตกต่างกัน คือ ตามกฎหมายอาญา สภาพบังคับก็คือการลงโทษตามกฎหมาย เช่น การจำคุกหรือการประหารชีวิต ซึ่งมุ่งหมายเพื่อจะลงโทษผู้กระทำความผิดให้เข็ดหลาบ แต่ตามกฎหมายแพ่งฯ นั้น สภาพบังคับจะมุ่งหมายไปที่การเยียวยาให้แก่ผู้เสียหายเพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด เช่น การชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือการบังคับให้กระทำการตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ ฯลฯ ซึ่งบางกรณีผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายก็อาจต้องต้องถูกบังคับทั้งทางอาญาและทางแพ่งฯ ในคราวเดียวกันก็ได้

7. ระบบกฎหมายเป็นอย่างไรจงอธิบาย
 ตอบ  ระบบกฎหมายเเบ่งออกเป็น 2 ระบบ ดังนี้    
         7.1 ระบบซีวิลลอร์   หรือระบบลายลักษณ์อักษร ถือกำเนิดขึ้นในทวีปยุโรปราวคริสต์ศตวรรษที่ 12 เป็นระบบเอามาจาก Jus Civile” ใช้แยกความหมาย Jus Gentium” ของโรมัน ซึ่งมีลักษณะพิเศษกล่าวคือ เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่มีความสำคัญกว่าอย่างอื่น คาพิพากษาของศาลไม่ใช่ที่มาของกฎหมาย แต่เป็นบรรทัดฐานแบบอย่างของการตีความกฎหมายเท่านั้น เริ่มต้นจากตัวบทกฎหมายเป็นสำคัญ จะถือเอาคาพิพากษาศาลหรือความคิดเห็นของ นักกฎหมายเป็นหลักไม่ได้ ยังถือว่า กฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนเป็นคนละส่วนกัน และการวินิจฉัยคดีผู้พิพากษาเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด กลุ่มประเทศที่ใช้กฎหมายนี้ 
         7.2 ระบบคอมมอนลอว์ (Common Law System) เกิดและวิวัฒนาการขึ้นในประเทศอังกฤษมีรากเหง้ามาจากศักดินา ซึ่งจะต้องกล่าวถึงคาว่า “เอคควิตี้ (equity) เป็นกระบวนการเข้าไปเสริมแต่งให้คอมมอนลอว์ เป็นการพัฒนามาจากกฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร นำเอาจารีตประเพณีและคาพิพากษา ซึ่งเป็นบรรทัดฐานของศาลสมัยเก่ามาใช้ จนกระทั่งเป็นระบบกฎหมายที่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง การวินิจฉัยต้องอาศัยคณะลูกขุนเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด ประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายนี้

8. ประเภทของกฎหมายมีกี่ประเภท และหลักการอะไรบ้าง แต่ละประเภทประกอบด้วยอะไรบ้าง จงยกตัวอย่าง พร้อมอธิบาย 
 ตอบ  ประเภทของกฎหมาย ที่จะศึกษาแบ่งได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 
        1.  ประเภทแบ่งตามระบบหรือที่มาของกฎหมาย
        2.  ประเภทแบ่งตามลักษณะการใช้กฎหมาย
        3.  ประเภทแบ่งตามบทบัญญัติในกฎหมายที่มีความสัมพันธ์กับประชาชน
             1.  ประเภทแบ่งตามระบบหรือที่มาของกฎหมาย
                  1.1  ระบบลายลักษณ์อักษร ( Civil law System) ประเทศไทยใช้ระบบนี้เป็นหลัก  กระบวนการจัดทำกฎหมายมีขั้นตอนที่เป็นระบบ มีการจดบันทึก มีการกลั่นกรองของฝ่ายนิติบัญญัติคือ รัฐสภา มีการจัดหมวดหมู่กฎหมายของตัวบทและแยกเป็นมาตรา เมื่อผ่านการกลั่นกรองจากรัฐสภาแล้ว จะประกาศใช้เป็นกฎหมายโดยราชกิจจานุเบกษา กฎหมายลายลักษณ์อักษรนี้ ได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง
                  1.2  ระบบไม่เป็นลายลักษณ์อักษรหรือจารีตประเพณี ( Common Law System) เป็นกฎหมายที่มิได้มีการจัดทำเป็นลายลักษณ์อักษร ไม่มีการจัดเป็นหมวดหมู่ และไม่มีมาตรา หากแต่เป็นบันทึกความจำตามขนบธรรมเนียมประเพณีที่ใช้กันต่อๆมา ตั้งแต่บรรพบุรุษรวมทั้งบันทึกคำพิพากษาของศาลที่พิพากษาคดีมาแต่ดั้งเดิม ประเทศที่ใช้กฎหมายจารีตประเพณี หรือไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ ประเทศอังกฤษและประเทศทั้งหลายในเครือจักรภพของอังกฤษ
             2.  ประเภทแบ่งตามลักษณะการใช้กฎหมาย
                  2.1  กฎหมายสารบัญญัติ คือ กฎหมายที่บัญญัติถึงสิทธิและหน้าที่ของบุคคล กำหนด ข้อบังคับความประพฤติของบุคคลทั้งในทางแพ่งและในทางอาญา โดยเฉพาะในทางอาญา คือ ประมวลกฎหมายอาญา จะบัญญัติลักษณะการกระทำอย่างใดเป็นความผิดระบุองค์ประกอบความผิดและกำหนดโทษไว้ว่าจะต้องรับโทษอย่างไร และในทางแพ่ง   คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  จะกำหนดสาระสำคัญของบทบัญญัติว่าด้วยนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในฐานะต่าง ๆ ตามกฎหมาย เช่น นิติกรรม หนี้ สัญญา เอกเทศสัญญา เป็นต้น
                  2.2  กฎหมายวิธีสบัญญัติ คือ กฎหมายที่บัญญัติถึงวิธีการปฏิบัติด้วยการนำเอากฎหมายสารบัญญัติไปใช้ไปปฏิบัตินั่นเอง เช่น ไปดำเนินคดีในศาลหรือเรียกว่า กฎหมายวิธีพิจารณาความก็ได้  กฎหมายวิธีสบัญญัติ จะกำหนดระเบียบ ระบบ ขั้นตอนในการใช้ เช่น กำหนดอำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐในการดำเนินคดีอาญาต่อผู้ต้องหา วิธีการร้องทุกข์ วิธีการสอบสวนวิธีการนำคดีที่มีปัญหาฟ้องต่อศาล วิธีการพิจารณาคดีต่อสู้คดี ในศาลรวมทั้งการบังคับคดีตามคำสั่ง หรือคำพิพากษาของศาล เป็นต้น กฎหมายวิธีสบัญญัติจะกำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นหลัก
          3.  ประเภทแบ่งตามบทบัญญัติในกฎหมายที่มีความสัมพันธ์กับประชาชน
               3.1  กฎหมายมหาชน เป็นกฎหมายที่รัฐตราออกใช้กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับ ประชาชนการบริหารประเทศ รัฐมีฐานะเป็นผู้ปกครองประชาชนด้วยการออกกฎหมายและให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยแก่สังคม จึงตรากฎหมายประเภทมหาชนซึ่งเกี่ยวข้องกับประชาชนเป็นส่วนรวมทั้งประเทศ และทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎหมายการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจะมีผลกระทบต่อบุคคลของประเทศเป็นส่วนรวม จึงเรียกว่า กฎหมายมหาชน กฎหมายประเภทนี้ ได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายปกครอง เช่น พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมายอาญา เป็นต้น
                3.2  กฎหมายเอกชน เป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชน ด้วยกันเอง เป็นความสัมพันธ์ในเรื่องสิทธิและหน้าที่ระหว่างคู่สัญญา คือ เอกชนด้วยกันเอง รัฐไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย เพราะไม่มีผลกระทบต่อสังคมส่วนรวม  จึงให้ประชาชนมีอิสระกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างกันภายในกรอบของกฎหมายเพื่อคุ้มครอง

9. ท่านเข้าใจถึงคำว่าศักดิ์ของกฎหมายคืออะไรมีการแบ่งอย่างไร
ตอบ  เมื่อกล่าวถึง"ศักดิ์ของกฎหมาย(Hierachy of law)  อาจมีหลายคนอาจไม่เข้าใจว่าศักดิ์ของกฎหมายมีความหมายว่าอย่างไร มีความสำคัญมากน้อยแค่ไหนต่อกฎหมาย โดยทั่วไปในทางวิชาการ มีผู้ทรงคุณวุฒิได้ให้ความหมาย ศักดิ์ของกฎหมายไว้ว่า ลำดับชั้นของกฎหมาย หรืออีกนัยหนึ่งคือ ลำดับความสูงต่ำของกฎหมายที่ไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งความไม่เท่าเทียมกันของกฎหมายแต่ละฉบับนั้น พิจารณาได้จากองค์กรที่มีอำนาจในการออกกฎหมาย หมายความว่ากฎหมายแต่ละฉบับจะมีชั้นของกฎหมายในระดับนั้น  ให้พิจารณาจากองค์กรที่ออกกฎหมายฉบับนั้น 
          ตัวอย่างเช่น  รัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายที่ออกโดยองค์กรนิติบัญญัติสูงสุดของประเทศ คือ รัฐสภา  แต่บางกรณีอาจมีองค์กรอื่นเป็นผู้จัดให้มีกฎหมายในระดับรัฐธรรมนูญได้ เช่น คณะปฏิวัติออกรัฐธรรมนูญการปกครอง ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว การจัดแบ่งลำดับชั้นของกฎหมายไทยสามารถจัดแบ่งลำดับชั้นได้ดังนี้                                              
             1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย                         
          2. พระราชบัญญัติและประมวลกฎหมาย
          3. พระราชกำหนด                                                              4. ประกาศพระบรมราชโองการให้ใช้บังคับ
          5. พระราชกฤษฎีกา                                                 
          6. กฎกระทรวง
          7. ข้อบัญญัติจังหวัด                                                 
          8. เทศบัญญัติ
          9. ข้อบังคับองค์การบริหารส่วนตำบล

10. เหตุการณ์เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 มีเหตุการณ์ชุมนุมของประชาชน ณ ลานพระบรมรูปทรงม้าและประชาชนได้ประกาศว่าจะมีการประชุมอย่างสงบแต่ปรากฏว่ารัฐบาลประกาศเป็นเขตพื้นที่ห้ามชุมนุมและขัดขว้างไม่ให้ประชาชนชุมนุมอย่างสงบลงมือทำร้ายร่างกายประชาชนในฐานะท่านเรียนวิชานี้ท่านจะอธิบายบอกเหตุผลว่ารัฐบาลกระทำผิดหรือถูก
ตอบ จากเหตุการณ์ดังกล่าวดิฉันคิดว่ารัฐบาลกระทำผิด เพราะว่า ประชาชนทุกคนมีสิทธิที่จะเรียกร้องสิทธิของตนเอง ดังนั้นรัฐบาลขัดขวางการประชุมของประชาชนซึ่งขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งแสดงว่ารัฐบาลละเมิดสิทธิของประชาชน ประชาชนมีสิทธิในการแสดงความคิดเห็นในสิ่งที่ตนเองคิดและในในการชุมนุมไม่ได้ทำให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนหรือได้รับความเสียหายใดๆ แต่กลับกันรัฐบาลกลับทำร้ายประชาชน ซึ่งเป็นความผิดอันร้ายแรงที่ไม่สมควรเกิดขึ้น

11. ท่านมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่ากฎหมายการศึกษาอย่างไรจงอธิบาย
ตอบ  กฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาในปัจจุบัน เป็นพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ออกมาสอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่กำหนดให้รัฐต้องจัดการศึกษา ถือได้ว่าเป็นกรอบเเนวทางในการปฏิบัติหรือการพัฒนาทางการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการศึกษา การเรียนการสอน หรือด้านบุคลากรเอง หรือการจัดการอบรมและสนับสนุนให้เอกชนจัดการศึกษาอบรมให้เกิดความรู้คู่คุณธรรม จัดให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาแห่งชาติ ปรับปรุงการศึกษาให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศเเละสร้างเสริมความรู้และปลูกฝังจิตสำนึกที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ฉะนั้นกฎหมายการศึกษาจึงเปรียบเสมือนตัวขับเคลื่อนเเละกรอบเเนวทางในการปฏิบัติให้บุคคลทางการศึกษาเเละระบบทางการศึกษาควรระลึกเเละปฏิบัติในเเนวทางที่ถูกต้อง

12. ในฐานะที่นักศึกษาเรียนวิชานี้ ถ้าเราไม่ศึกษากฎหมายการศึกษา ท่านคิดว่าเมื่อท่านไปประกอบอาชีพครูจะมีผลกระทบต่อท่านอย่างไร
ตอบ  ในฐานะที่เรียนรายวิชานี้และจะเป็นครูในอนาคต จำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานทางด้านกฎหมายทางการศึกษา เช่น ข้อปฏิบัติของทางราชการ  ข้อละเว้นในการประพฤติ ปฏิบัติตน สิ่งที่เป็นข้อห้าม สิ่งที่ไม่ชอบ ไม่ควร ซึ่งหากเราไม่มีความรู้ความเข้าใจจะส่งผลกระทบไปในการประกอบอาชีพ อาจจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่ไม่ดีของการเป็นครู และหากกระทำความผิดทางการศึกษาแล้ว กฎหมายสามารถควบคุมให้เราลาออกจากความเป็นครูได้ และประชาชนก็จะไม่มีความศรัทธาในความเป็นครูของเรา ดังนั้นหน้าที่ของครูจึงจำเป็นต้องทำหน้าที่ในการอบรมสั่งสอนและประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีต่อศิษย์ และสิ่งสำคัญคือ หากเรากระทำผิด ไม่เพียงแค่ตัวเราที่เสียชื่อเสียง แต่รวมไปถึงโรงเรียน เขตพื้นที่การศึกษา อำเภอ จังหวัดและประเทศชาติอีกด้วย ดังนั้นจำเป็นต้องมีกฎหมายการศึกษามาเป็นกรอบเเนวทางข้อบังคับในการดำเนินงานของบุคลากรทางการศึกษาและมีบทลงโทษสำหรับการกระทำความผิดเพื่อความสงบสุขในการประกอบอาชีพรับราชการครู




อนุทินที่ 3

       เเบบฝึกหัดทบทวน   1.  ใครเป็นผู้ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับแรกและมีเหตุผลอย่างไร และประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาเป็นอ...